เมื่อเวลาผ่านไป ริ้วรอยและความหย่อนคล้อยก็มาเยือนพร้อมกับวัยที่เพิ่มขึ้น นี่เป็นเพราะการลดลงของ “Collagen (คอลลาเจน)” โปรตีนสำคัญที่เปรียบเสมือนโครงสร้างหลักของผิว คอลลาเจนมีบทบาทสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่น ความแข็งแรง และความอิ่มเอิบของผิวพรรณ ดังนั้น การเข้าใจถึงความสำคัญของ Collagen และผลกระทบของอายุที่เพิ่มขึ้นต่อระดับคอลลาเจนในผิว จึงเป็นก้าวแรกสู่การดูแลผิวให้คงความอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน
สารบัญ
- Collagen คืออะไร
- ทำไมผิวต้องการ Collagen
- สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Collagen มีประโยชน์อย่างไร?
- ปัจจัยและพฤติกรรมที่อาจทำให้คอลลาเจนในร่ายกายสูญสลายได้ มีอะไรบ้าง
- สัญญาณของผิวขาด Collagen
- การรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน
- การเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยกระตุ้นการสร้าง Collagen
- ทำไมต้องเลือกสกินแคร์ Collagen จาก Vichy
- คำถามที่พบบ่อย
- อ้างอิงจาก
Collagen คืออะไร
Collagen (คอลลาเจน) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ คิดเป็นประมาณ 25-35% ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย โดยทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักที่เชื่อมต่อเนื้อเยื่อต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เปรียบเสมือนกาวที่ยึดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไว้ เราสามารถพบคอลลาเจนได้มากในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ผิวหนัง กระดูก กระดูกอ่อน เอ็น กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด
Collagen มีโครงสร้างเป็นเส้นใยที่แข็งแรงและยืดหยุ่น เกิดจากการรวมตัวกันของกรดอะมิโน โดยเฉพาะไกลซีน โพรลีน และไฮดรอกซีโพรลีน เรียงตัวกันเป็นสายเกลียวสามสาย (triple helix) ที่พันกันแน่นหนา โครงสร้างที่แข็งแรงนี้ทำให้คอลลาเจนสามารถรองรับน้ำหนักและแรงดึงได้ดี
ปัจจุบันพบว่ามี Collagen มากกว่า 28 ชนิด แต่ชนิดที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ ได้แก่
- Type I: พบมากที่สุดประมาณ 90% ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย พบในผิวหนัง กระดูก เอ็น และกระดูกอ่อน มีหน้าที่ให้ความแข็งแรงและยืดหยุ่น
- Type II: พบในกระดูกอ่อน ช่วยในการรองรับแรงกระแทก
- Type III: พบในกล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และหลอดเลือด มักพบร่วมกับ Type I ช่วยให้เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่น
- Type IV: พบในชั้นใต้ผิวหนัง ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของเยื่อบุผิว
ทำไมผิวต้องการ Collagen
ผิวต้องการ Collagen เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ความแข็งแรง และความชุ่มชื้น นำไปสู่การเกิดริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และปัญหาผิวอื่น ๆ ดังนั้น การดูแลรักษาระดับคอลลาเจนในผิวจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพและความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ผิวจึงต้องการคอลลาเจนด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้
- รักษาโครงสร้างและความแข็งแรงของผิว: Collagen เป็นส่วนประกอบหลักของชั้นหนังแท้ (dermis) ซึ่งเป็นชั้นผิวที่อยู่ใต้ชั้นหนังกำพร้า (epidermis) คอลลาเจนทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักที่ช่วยพยุงผิวหนัง คงรูปทรงของผิว และมอบความแข็งแรงให้กับผิว หากเปรียบผิวหนังเป็นบ้าน คอลลาเจนก็เปรียบเสมือนโครงสร้างของบ้านที่คอยรองรับส่วนต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปทรงที่สมบูรณ์
- รักษาความยืดหยุ่นและความตึงกระชับ: Collagen มีคุณสมบัติในการยืดหยุ่นและคืนตัวได้ดี ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและตึงกระชับ เมื่อเรายิ้ม หัวเราะ หรือแสดงสีหน้าต่าง ๆ ผิวหนังจะสามารถยืดและหดตัวกลับมาอยู่ในรูปทรงเดิมได้อย่างเป็นธรรมชาติ หากปริมาณคอลลาเจนลดลง ผิวจะสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอย และหย่อนคล้อยได้ง่าย
- รักษาความชุ่มชื้น: Collagen ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวหนัง ทำให้ผิวนุ่มเนียนและชุ่มชื้นอยู่เสมอ คอลลาเจนสามารถจับกับโมเลกุลของน้ำได้ดี จึงช่วยรักษาระดับความชุ่มชื้นในผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากผิวขาดคอลลาเจน ผิวจะแห้งกร้าน ขาดความเปล่งปลั่ง และเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
- กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่: Collagen มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหนังดูสดใสและมีสุขภาพดี กระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพออกไป และเผยผิวใหม่ที่สดใสกว่า
- ช่วยในการสมานแผล: Collagen มีบทบาทสำคัญในกรบบวนการสมานแผล เมื่อผิวหนังเกิดบาดแผล ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย คอลลาเจนจะช่วยเชื่อมต่อเนื้อเยื่อที่ฉีกขาดเข้าด้วยกัน และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
คอลลาเจนจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกาย มีบทบาทหลากหลาย ตั้งแต่การสร้างโครงสร้าง ให้ความแข็งแรง ไปจนถึงการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การดูแลรักษาระดับคอลลาเจนในร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดีโดยรวม
สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Collagen มีประโยชน์อย่างไร?
สกินแคร์ที่ช่วยบำรุง Collagen นั้นไม่ได้เติมคอลลาเจนเข้าสู่ผิวโดยตรง แต่จะทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวเราเอง หรือปกป้องคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว ส่วนผสมในสกินแคร์ที่เป็นคอลลาเจนหรือเปปไทด์โดยตรง และมีประโยชน์ต่อคอลลาเจนในผิว แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ
- Collagen (คอลลาเจน) ส่วนใหญ่จะเป็น Hydrolyzed Collagen หรือ Collagen Peptides ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยให้มีโมเลกุลเล็กลง เพื่อให้สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้มากขึ้น คอลลาเจนในสกินแคร์ทำหน้าที่หลักในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว สร้างฟิล์มบาง ๆ เคลือบผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น และอาจช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวได้บ้าง แต่อาจไม่มากเท่ากับเปปไทด์บางชนิด เนื่องจากขนาดโมเลกุลยังค่อนข้างใหญ่ ทำให้การซึมผ่านเข้าสู่ผิวได้ไม่ดีเท่าเปปไทด์คอลลาเจนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ เรียบเนียน และลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ได้
- Peptide (เปปไทด์) เปปไทด์เป็นส่วนประกอบสำคัญในสกินแคร์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด เปปไทด์คือสายสั้น ๆ ของกรดอะมิโน ซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของโปรตีน เปปไทด์ในสกินแคร์ทำหน้าที่เป็น messenger ที่ส่งสัญญาณไปยังเซลล์ผิวเพื่อกระตุ้นการทำงานต่าง ๆ ทั้งยังมีส่วนช่วยลดเลือนริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่น และความกระชับให้กับผิว ตัวอย่างเช่น Matrixyl, Argireline เป็นต้น
Collagen เป็นโปรตีนโครงสร้างสำคัญที่ช่วยรักษาความอ่อนเยาว์และสุขภาพผิว ส่วนสกินแคร์ที่เราเลือกใช้ ควรพิจารณาถึงความต้องการและปัญหาผิวของแต่ละบุคคล โดยสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Collagen จะเน้นเรื่องความชุ่มชื้น ในขณะที่สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์จะเน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และส่วนประกอบอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อผิว ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการเลือกผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อให้ผิวของคุณได้รับการบำรุงอย่างเต็มประสิทธิภาพและคงความอ่อนเยาว์ได้ยาวนาน
ปัจจัยและพฤติกรรมที่อาจทำให้คอลลาเจนในร่ายกายสูญสลายได้ มีอะไรบ้าง
ปัจจัยและพฤติกรรมที่อาจทำให้คอลลาเจนในร่ายกายสูญสลาย มีดังนี้
- อายุที่เพิ่มขึ้น: เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้ลดลง ต่อให้ผลิตได้ก็จะไม่ได้มีคุณภาพเทียบเท่าเมื่อเยาว์วัย ทำให้ผิวเริ่มมีริ้วรอยและความหย่อนคล้อยเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- รังสี UV: การสัมผัสกับแสงแดดโดยปราศจากการป้องกันเป็น ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำลายคอลลาเจนในผิว รังสี UV จะไปกระตุ้นเอนไซม์ที่ย่อยสลายคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวมีริ้วรอย จุดด่างดำ และความหมองคล้ำ
- มลภาวะ: ฝุ่นควัน PM 2.5 และสารพิษต่าง ๆ ในอากาศสามารถสร้างอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ผิว รวมถึงคอลลาเจนโดยตรง ส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต: การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึงการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ล้วนส่งผลให้คอลลาเจนในร่างกายสูญสลายได้เช่นเดียวกัน
- การอักเสบ: การอักเสบเรื้อรังที่เกิดขึ้นภายในในร่างกาย ไม่ว่าจากโรคภัยไข้เจ็บหรือปัจจัยภายนอก ก็สามารถส่งผลเสียต่อคอลลาเจนได้
สัญญาณของผิวขาด Collagen
เมื่อคอลลาเจนในผิวลดน้อยลงหรือเสื่อมสภาพ ผิวของเราจะเริ่มส่งสัญญาณเตือนที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัด ๆ ได้แก่
- ริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นที่เห็นได้ชัด
- ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
- ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น
- ผิวไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง
- ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส
- แผลหายช้า
ถ้าหากคุณสังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้บนผิวหน้า นั่นหมายความว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องพิจารณาหาวิธีบำรุงและเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับผิว เพื่อฟื้นคืนความอ่อนเยาว์และสุขภาพดีให้กับผิวอีกครั้ง
การรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน
การบำรุงด้วยอาหารที่มีประโยชน์ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างคอลลาเจนและชะลอการเสื่อมสภาพของผิว อาหารบางชนิดมีสารตั้งต้นที่จำเป็นต่อการผลิตคอลลาเจน หรือมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องคอลลาเจนที่มีอยู่ ประกอบไปด้วย
- อาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน: ไก่ หมู วัว โดยเฉพาะส่วนที่มีเอ็นหรือกระดูกอ่อน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ไข่ขาว นม โยเกิร์ต ชีส ถั่วเหลือง ถั่วเลนทิล ถั่วแดง และควินัว ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ
- วิตามินซี (Vitamin C): ส้ม มะนาว เกรปฟรุต สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ บรอกโคลี พริกหวาน และผักคะน้า
- สังกะสี (Zinc): หอยนางรม เนื้อสัตว์ ถั่ว และเมล็ดพืช
- ทองแดง (Copper): ถั่ว ธัญพืชเต็มเมล็ด พืชตระกูลถั่ว
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants): ผักและผลไม้หลากสีสัน เบอร์รี่ มะเขือเทศ แครอท ผักโขม ชาเขียว และดาร์กช็อกโกแลต
การเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยกระตุ้นการสร้าง Collagen
การเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยตรงก็เป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูและคงความอ่อนเยาว์ของผิวได้ดี
- เรตินอยด์ (Retinoids): สารอนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น เรตินอล (Retinol) เป็นหนึ่งในส่วนผสมที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และปรับปรุงสภาพผิวโดยรวม แต่ควรเริ่มต้นใช้ในความเข้มข้นต่ำและค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้น เพื่อให้ผิวปรับสามารถตัวได้
- วิตามินซี (Vitamin C): วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องคอลลาเจนจากความเสียหายของอนุมูลอิสระและรังสียูวี เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินซีในรูปแบบที่เสถียร
- กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid): แม้ไม่ได้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยตรง แต่กรดไฮยาลูรอนิกมีความสามารถในการอุ้มน้ำได้มากถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู และลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากความแห้งกร้าน เมื่อผิวมีความชุ่มชื้นเพียงพอ สภาพแวดล้อมภายในผิวจะเอื้อต่อการทำงานของคอลลาเจนได้ดีขึ้น
- สารสกัดจากพืชบางชนิด: พืชบางชนิดมีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนหรือมีคุณสมบัติในการปกป้องคอลลาเจน เช่น สารสกัดจากใบบัวบก (Centella Asiatica) ที่ช่วยในการสมานแผลและฟื้นฟูผิว หรือ Bakuchiol ซึ่งเป็นทางเลือกจากพืชที่ให้ผลคล้ายเรตินอลแต่มีความอ่อนโยนกว่า
- สารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ: เช่น วิตามินอี (Vitamin E), เฟอร์รูลิก แอซิด (Ferulic Acid) และ CoQ10 ที่ช่วยปกป้องคอลลาเจนจากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระและปัจจัยภายนอก
ทำไมต้องเลือกสกินแคร์ Collagen จาก Vichy
เหตุผลที่ต้องเลือกสกินแคร์ Collagen จาก Vichy เพราะ Vichy เป็นแบรนด์เวชสำอางที่ก่อตั้งขึ้นจากแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติ ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญ 15 ชนิด ที่ช่วยเสริมสร้างปราการผิวให้แข็งแรงและปกป้องผิวจากปัจจัยรุกรานภายนอก ผลิตภัณฑ์ของ Vichy ทุกชิ้นผ่านการทดสอบภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย แม้ผิวบอบบางแพ้ง่าย และไม่ได้เน้นเพียงแค่การเติมคอลลาเจนจากภายนอก แต่ยังเน้นการกระตุ้นกลไกธรรมชาติของผิวในการสร้างคอลลาเจนของตัวเอง ด้วยการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
Vichyได้คัดสรรและใช้ส่วนผสมที่ทรงพลังและได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ
- Matrixyl Peptide: เปปไทด์ที่มีความทรงพลัง ช่วยบูสโปร-คอลลาเจนเปปไทด์ ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นและลดริ้วรอย ผิวดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
- Rhamnose: ปลุกผิวให้แข็งแรงมากขึ้น และดูสุขภาพดี ทนทานต่อปัจจัยภายนอกที่ทำร้ายผิว เช่น มลภาวะและรังสียูวี
- Mitake Extract: ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดเลือนจุดด่างดำ พร้อมปกป้องผิวจากการถูกทำลาย
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์กลุ่มคอลลาเจนของ Vichy ได้รับการพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่ขาดคอลลาเจนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ความหย่อนคล้อย หรือความไม่กระชับ ผู้ใช้หลายรายสัมผัสได้ถึงผิวที่ดูเต่งตึงขึ้น ริ้วรอยดูจางลง และผิวดูกระชับเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งาน เนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์กลุ่มคอลลาเจนมักจะบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ทำให้สามารถใช้ได้อย่างสบายผิวในทุกสภาพอากาศ ทุกประการที่กล่าวมาล้วนเป็นเหตุผลให้ผู้ที่ต้องการให้ผิวกลับมาแข็งแรง สุขภาพดี ควรค่าแก่การเปิดใจลองใช้ Vichy สักครั้ง
คำถามที่พบบ่อย
คอลลาเจน กินตอนไหน เห็นผลสุด
คอลลาเจน กินตอนไหน แม้ว่าผลิตภัณฑ์ของ VICHY จะไม่มีสำหรับรับประทาน แต่โดยปกติแล้วถ้าเป็นกลุ่มวิตามิน การรับประทานคอลลาเจนไม่มีข้อกำหนดเวลาที่ตายตัว สามารถรับประทานได้ทุกช่วงเวลาของวัน อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่แนะนำมากที่สุดคือตอนท้องว่าง เช่น ก่อนอาหารเช้า 30-60 นาที หรือก่อนนอน เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารได้ดีที่สุดและไม่มีอาหารอื่น ๆ มาขัดขวางการดูดซึม
คอลลาเจน ช่วยอะไร
คอลลาเจน มีประโยชน์หลายส่วน ถ้าในส่วนของการบำรุงผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ จะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง ลดเลือนริ้วรอย ชะลอความหย่อนคล้อย ผิวชุ่มชื้น ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง ลดการหลุดร่วง และบำรุงเล็บให้ไม่เปราะง่าย ในส่วนของกระดูกและข้อต่อจะช่วยลดอาการปวดข้อ และเพิ่มความยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหว นอกจากนี้ยังช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้รวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้ผนังลำไส้แข็งแรงเป็นต้น
คอลลาเจน คืออะไร
คอลลาเจน (Collagen) คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ คิดเป็นประมาณ 25-35% ของปริมาณโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย มีลักษณะเป็นเส้นใย (Fiber) ที่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูง ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักและกาวเชื่อมโยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง กระดูก กระดูกอ่อน เส้นเอ็น เส้นผม เล็บ และหลอดเลือด คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เนื้อเยื่อเหล่านี้มีความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และความสามารถในการฟื้นตัว แต่สำหรับผลิตภัณฑ์ Vichy คอลลาเจน จะเข้ามาช่วยบำรุงผิว ลดเลือนริ้วรอยโดยตรง
Collagen มาจากไหน
Collagen มาจาก 3 แหล่งหลัก ๆ ประกอบไปด้วย
- คอลลาเจนจากสัตว์: เป็นแหล่งที่พบมากที่สุดและนิยมใช้กันแพร่หลาย เนื่องจากมีโครงสร้างคอลลาเจนที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์ ได้แก่ วัว หมู ปลา และไก่
- คอลลาเจนจากพืช: สกัดจากพืชบางชนิดมีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย หรือมีสารตั้งต้นที่จำเป็นต่อกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน ได้แก่ สาหร่ายทะเล
- คอลลาเจนที่สังเคราะห์ขึ้น (Synthetic/Lab-grown Collagen): ในอนาคตอาจมีการพัฒนาคอลลาเจนที่สังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการจากกระบวนการทางชีวภาพ โดยอาจใช้ยีสต์หรือแบคทีเรียในการผลิต ซึ่งจะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์
ส่วนคอลลาเจนที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ไม่ว่าจะในรูปแบบอาหารเสริมหรือสกินแคร์ มักจะผ่านกระบวนการที่เรียกว่า ไฮโดรไลซิส (Hydrolysis) เพื่อให้ได้
- ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen): คอลลาเจนที่ถูกย่อยสลายให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลง เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้นเมื่อรับประทาน หรือสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้นเมื่อใช้เป็นสกินแคร์
- คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptides): คอลลาเจนที่ถูกย่อยสลายให้มีขนาดโมเลกุลที่เล็กยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมและนำไปใช้ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย
Collagen กินวันละเท่าไหร่ เริ่มเห็นผล
Collagen กินวันละเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม โดยปกติแล้วปริมาณคอลลาเจนที่แนะนำต่อวันจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และประเภทของคอลลาเจนที่รับประทาน ถ้าหากทานเพื่อสุขภาพผิวองค์รวม โดยทั่วไปแนะนำที่ 2.5 - 10 กรัมต่อวัน ถ้ารับประทานเพื่อลดเลือนริ้วรอยและความหย่อนคล้อย อาจเพิ่มเป็น 5 - 10 กรัมต่อวัน และถ้าทานเพื่อสุขภาพข้อต่อและกระดูก แนะนำที่ 10 - 15 กรัมต่อวัน แต่มีข้อควรระวัง คือ ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่คุณเลือกใช้อย่างเคร่งครัด เนื่องจากปริมาณและประเภทของคอลลาเจนอาจแตกต่างกันไป และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากมีข้อกังวล แต่ถ้าถามถึงแล้วผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนผสม ควรใช้ตอนไหนดี แนะนำว่าควรทาในขั้นตอนของการบำรุงผิวและสามารถใช้ได้ทั้ง เช้าและเย็น ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์และส่วนผสมอื่น ๆ ที่อยู่ในสกินแคร์นั้น ๆ
Collagen มีกี่ประเภท
คอลลาเจนมีอยู่มากกว่า 28 ประเภทในร่างกายมนุษย์ แต่ประเภทที่สำคัญและพบมากที่สุด ได้แก่
- คอลลาเจน ชนิดที่ 1 (Type I Collagen): พบมากที่สุดในร่างกาย คิดเป็นประมาณ 90% พบในผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีบทบาทสำคัญในการให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่น
- คอลลาเจน ชนิดที่ 2 (Type II Collagen): พบเป็นหลักในกระดูกอ่อน (Cartilage) โดยเฉพาะกระดูกอ่อนที่บุข้อต่อ ช่วยรองรับแรงกระแทกและทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ราบรื่น
- คอลลาเจน ชนิดที่ 3 (Type III Collagen): มักพบเคียงคู่กับคอลลาเจนชนิดที่ 1 ในผิวหนัง กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด มีบทบาทในการให้ความยืดหยุ่นและความอ่อนนุ่มของเนื้อเยื่อ โดยเฉพาะในช่วงที่เนื้อเยื่อกำลังเติบโตหรือซ่อมแซมตัวเอง
- คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Type V Collagen): พบในกระดูก ผิวหนัง รก และกระจกตา มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเริ่มต้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจน
- คอลลาเจนชนิดที่ 11 (Type XI Collagen): พบในกระดูกอ่อนและหมอนรองกระดูกสันหลัง มีส่วนร่วมในการเริ่มต้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจน
- คอลลาเจนชนิดที่ 12 (Collagen Type XII): พบได้ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่ต้องการความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูง เช่น เส้นเอ็น (tendons), เอ็นยึดข้อ (ligaments), ปริทันต์ (periodontium) (เนื้อเยื่อรอบฟัน), และ เยื่อหุ้มกระดูก (periosteum) เกี่ยวข้องกับเส้นใยและมีโครงสร้างเกลียวสามชั้นที่ไม่ต่อเนื่อง ทำให้มันมีความยืดหยุ่นและมีบทบาทเฉพาะในการจัดระเบียบโครงสร้างของเนื้อเยื่อ
อ้างอิงจาก
https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC10968853/
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/simedbull/article/view/265429