การกิน Collagen ช่วยเรื่องอะไร และใช้สกินแคร์ที่บูสต์ Collagen สำคัญแค่ไหน

เมื่อพูดถึงความอ่อนเยาว์และผิวสุขภาพดี 'Collagen' มักจะถูกกล่าวถึงเป็นลำดับต้น ๆ ในฐานะโปรตีนที่เปรียบเสมือนเสาหลักสำคัญของร่างกาย ไม่เพียงแต่เป็นส่วนประกอบหลักที่ทำให้ผิวพรรณของเราดูตึงกระชับ ยืดหยุ่น และเรียบเนียนเท่านั้น แต่ยังเป็นโครงสร้างสำคัญของผม เล็บ กระดูก และข้อต่ออีกด้วย เมื่อเวลาผ่านไป และร่างกายต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกอย่างแสงแดด มลภาวะ หรือแม้แต่ความเครียด การผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติของเราก็เริ่มลดลง ทำให้สัญญาณแห่งวัยต่าง ๆ ทั้งริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และปัญหาต่างๆ เริ่มปรากฏขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทความนี้จะเจาะลึกถึง 'การกินคอลลาเจนช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง' และ 'สกินแคร์ที่บูสต์คอลลาเจนมีความสำคัญแค่ไหน' เพื่อไขข้อข้องใจและหาคำตอบในการดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง

Table of Contents

• การกิน Collagen ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง
• สกินแคร์ที่บูสต์คอลลาเจนมีความสำคัญแค่ไหน
• บูสต์ Collagen ด้วย Vichy Collagen Specialist 16

การกิน Collagen ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง

เมื่อเราอายุมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติจะลดลง ซึ่งนำไปสู่สัญญาณแห่งวัยที่เห็นได้ชัดเจน การรับประทานคอลลาเจนเสริมจึงเป็นที่นิยมเพื่อช่วยชดเชยส่วนที่ขาดหายไป

1. รูปแบบของคอลลาเจนที่ควรกิน

คอลลาเจนในอาหารเสริมมักจะอยู่ในรูปแบบที่ถูกย่อยแล้ว เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้น ซึ่งแบ่งเป็นหลัก ๆ ดังนี้

ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) หรือ คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptides)

ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซิส (Hydrolysis) ทำให้โมเลกุลของคอลลาเจนขนาดใหญ่แตกตัวเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ หรือ "เปปไทด์" ซึ่งมีขนาดโมเลกุลที่เล็กมาก ร่างกายสามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีและรวดเร็ว เพราะมีขนาดเล็กมากจนสามารถผ่านผนังลำไส้เข้าสู่ร่างกายได้ เมื่อเราบริโภคไฮโดรไลซ์คอลลาเจนเข้าไปจะผ่านกระบวนการดังนี้

• การย่อย: คอลลาเจนเปปไทด์จะถูกย่อยในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กให้เป็นกรดอะมิโนอิสระและเปปไทด์ขนาดเล็ก
• การดูดซึม: สารเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านผนังลำไส้เล็ก
• การกระจายตัว: กระแสเลือดจะพาเปปไทด์และกรดอะมิโนเหล่านี้ไปยังเซลล์เป้าหมายต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เช่น เซลล์ผิวหนัง (Fibroblasts), เซลล์กระดูกอ่อน (Chondrocytes), เซลล์กระดูก (Osteoblasts)
• การกระตุ้นและการสร้าง: เปปไทด์เหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นวัตถุดิบให้ร่างกายใช้ในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ นอกจากนี้ เปปไทด์บางชนิดยังทำหน้าที่เป็น "สัญญาณ" ที่ไปกระตุ้นให้เซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างคอลลาเจนในร่างกายผลิตคอลลาเจนได้มากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยยับยั้งการสลายตัวของคอลลาเจนเก่า

โดยประโยชน์ที่ได้รับอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย อายุ การใช้ชีวิต และปริมาณที่รับประทาน ควรรับประทานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ควรรับประทานคู่กับวิตามินซี และดูแลสุขภาพโดยรวม เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด

สกินแคร์ที่บูสต์คอลลาเจนมีความสำคัญแค่ไหน

สกินแคร์ที่เน้นการบูสต์คอลลาเจนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลผิวพรรณให้คงความอ่อนเยาว์และสุขภาพดี โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้นและเผชิญกับปัจจัยภายนอกต่าง ๆ

1.ต่อสู้กับปัจจัยภายนอกที่ทำร้ายผิว

แม้ว่าการกินคอลลาเจนจะช่วยบำรุงจากภายใน แต่ผิวต้องเผชิญกับศัตรูที่ทำลายคอลลาเจนอยู่ทุกวัน เช่น แสงแดด (รังสี UVA/UVB), มลภาวะ, ควันบุหรี่, และอนุมูลอิสระต่าง ๆ สกินแคร์สามารถเป็นด่านหน้าในการปกป้องและซ่อมแซมความเสียหายเหล่านี้ได้โดยตรง

2.ช่วยแก้ไขปัญหาผิวที่มองเห็นได้

ปัญหาผิวที่เราเห็นได้ชัดเจน เช่น ริ้วรอย ร่องลึก ความหย่อนคล้อย จุดด่างดำ เกิดขึ้นที่ชั้นผิวหนัง การใช้สกินแคร์ที่เหมาะสมจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้

3.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวเอง

สกินแคร์ส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นการเติมคอลลาเจนจากภายนอกโดยตรง (เนื่องจากโมเลกุลคอลลาเจนมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะซึมเข้าสู่ผิวได้) แต่จะเน้นการใช้ส่วนผสมที่เข้าไป "กระตุ้น" ให้เซลล์ผิว (ไฟโบรบลาสต์) ทำงานได้ดีขึ้นและสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของผิวได้มากขึ้น

4.บำรุงและฟื้นฟูผิวอย่างเฉพาะจุด

สกินแคร์ช่วยส่งสารออกฤทธิ์ตรงจุดที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้น การผลัดเซลล์ผิว หรือการเสริมสร้างความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งเสริมให้สภาพแวดล้อมภายในผิวเอื้อต่อการสร้างคอลลาเจน และสุขภาพดี

ส่วนผสมหลักในสกินแคร์ที่ช่วยบูสต์คอลลาเจนได้

1. เปปไทด์ (Peptides) เป็นชิ้นส่วนโปรตีนขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็น "สัญญาณ" บอกให้เซลล์ผิวผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น
2. สารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ (เช่น วิตามินอี, สารสกัดจากเห็ดไมตาเกะ) ช่วยปกป้องคอลลาเจนที่มีอยู่ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระและปัจจัยภายนอก
3. วิตามินซี (Vitamin C) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจนของผิวโดยตรง และยังช่วยปกป้องคอลลาเจนจากการถูกทำลาย
4. ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) แม้ไม่ได้กระตุ้นคอลลาเจนโดยตรง แต่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่จำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ผิวในการสร้างคอลลาเจน
5. เรตินอยด์ (Retinoids) เช่น Retinol เป็นสารที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจนใหม่ ลดเลือนริ้วรอย และปรับสภาพผิว

บูสต์ Collagen ด้วย Vichy Liftactiv Collagen Specialist 16 Bonding Serum

Vichy เวชสำอางจากประเทศฝรั่งเศส ที่มีแพทย์ผิวหนังกว่า 70,000 คนทั่วโลกมั่นใจแนะนำให้ใช้1 Vichyได้ทุ่มเทวิจัยมาอย่างยาวนานกว่า 15 ปี พร้อมตีพิมพ์บทความวิชาการถึง 25 บทความ และทดสอบโมเลกุลกว่า 8,900 ชนิด จนได้รังสรรค์

Vichy Liftactiv Collagen Specialist 16 Bonding Serum เป็นเซรั่มที่ออกแบบมาเพื่อปลดล๊อคปัญหาแห่งวัยแห่งวัย 16 ประการ โดยใช้เทคโนโลยี "Co-Bonding Technology" ของ Vichy ที่ช่วย Boost & Bond ผิวที่ได้รับการสูญเสียจาก Collagen ริ้วรอยแห่งวัย อาจจะเกิดจากผิวที่ผลิตคอลลาเจนได้น้อยลงอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากปัจจัยทำร้ายผิวทั้งภายในและภายนอก (Exposome) อย่างเช่นความเครียด มลภาวะ และอายุที่มากขึ้น

Vichy Liftactiv Collagen Specialist 16 Bonding Serum ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ริ้วรอยดูลดเลือนและรู้สึกตึงกระชับชึ้นใน 2 สัปดาห์2,3 และยังช่วยปลดล็อคปัญหาแห่งวัย ฟื้นฟูผิวได้ถึง 16 ประการ และยังพบว่า 86% ของผู้ใช้ริ้วรอยดูลดเลือนลง4 และ 71% ของผู้ใช้ผิวดูเด้งอิ่มฟูมากขึ้น4

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Liftactiv Collagen Specialist 16 ยังมีเดย์ครีม ไนท์ครีม และผลิตภัณฑ์รอบดวงตา เพื่อนำมาใช้ควบคู่กันให้ครบ เพื่อเป็นการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก ให้ดูอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดี

การดูผิวให้สุขภาพดีและอ่อนเยาว์ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดจึงไม่ใช่แค่การเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่คือการผสมผสานระหว่างการเลือกกินอาหารอย่างเหมาะสมเพื่อบำรุงจากภายใน และการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยกระตุ้น/ปกป้องคอลลาเจนจากภายนอก ควบคู่ไปกับการป้องกันแสงแดดและวิถีชีวิตที่ดี เพื่อคงความอ่อนเยาว์และสุขภาพดีของผิวพรรณในระยะยาว

1. ผลสำรวจโดย AplusA และผู้ทำการสำรวจร่วมโดยอ้างอิงจากตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ เวชสาอาง ระหว่าง มกราคม 2023 ถึง กรกฎาคม 2023 ซึ่งเป็นผลสํารวจที่มีแพทย์ผิวหนัง ทั้งหมด 30 ประเทศเข้าร่วม โดยสามารถอ้างอิงถึงมากกว่า 80% ของ GDA ทั่วโลก

2. ผลการทดสอบทางคลินิกในอาสาสมัคร 52 คน หลังใช้ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ โดยสถาบันวิจัย SGS North America, Inc ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อตุลาคม 2024

3. ผลการทดสอบความพึงพอใจในอาสาสมัคร 52 คน หลังใช้ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ โดยสถาบันวิจัย SGS North America, Inc ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อตุลาคม 2024

4. ผลการทดสอบความพึงพอใจในอาสาสมัคร 52 คน หลังใช้ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ โดยสถาบันวิจัย SGS North America, Inc ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อตุลาคม 2024