ผมหลุดร่วง ปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเครียด พันธุกรรม หรือปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งสร้างความไม่มั่นใจและทำให้เราสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง แต่จะดีแค่ไหน หากมีตัวช่วยที่สามารถจัดการกับปัญหาผมร่วงได้อย่างตรงจุด และนั่นคือเหตุผลที่เราอยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับ Aminexil ส่วนผสมสำคัญที่ได้รับการยอมรับในวงการผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผม และที่มีอยู่ใน แชมพูลดผมร่วง Vichy
.jpg?la=ja-jp&rev=e0203c7b735e43589ed1eac0b105d804&hash=793433E0467AB758AC191168F214B6CC)
วงจรการเจริญของเส้นผม
เส้นผมเป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังที่มีหน้าที่ปกป้องหนังศีรษะจากรังสีและความร้อน นอกจากนี้ยังเป็นลักษณะเฉพาะของบุคคล มีผลต่อความสวยงาม และเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิต โดยปกติแล้วเส้นผมแต่ละเส้นมีอายุเฉลี่ย 2-6 ปี โดยวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผมประกอบด้วย 3 ระยะหลัก ได้แก่ anagen, catagen และ telogen
- Anagen: ระยะเจริญเติบโตซึ่งผมจะงอกยาวขึ้นเรื่อย ๆ ใช้เวลาประมาณ 2-6 ปีในแต่ละเส้น
- Catagen: ระยะพักตัว ผมหยุดงอกแต่ยังไม่ร่วง โดยกินเวลาสั้น ๆ ประมาณ 2-3 สัปดาห์
- Telogen: ระยะหลุดร่วง ใช้เวลา 2-3 เดือน เส้นผมจะหลุดออกจากรูขนและถูกแทนที่ด้วยเส้นผมใหม่
ในภาวะปกติ คนเราจะมีผมร่วงวันละ 50-100 เส้น แต่เมื่อใดที่จำนวนเส้นผมที่ร่วงเกินกว่านี้ และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจแสดงถึงภาวะผิดปกติของหนังศีรษะหรือรากผม โดยมีสาเหตุที่พบบ่อย เช่น
ปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายใน ได้แก่ พันธุกรรม ความผิดปกติของฮอร์โมน โรคเรื้อรัง เช่น ภูมิคุ้มกันทำร้ายตนเอง ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โรคเบาหวาน หรือเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาลดความดัน ยารักษาโรคซึมเศร้า ยาฆ่าเชื้อ และยาเคมีบำบัด
ปัจจัยด้านพฤติกรรม
ปัจจัยด้านพฤติกรรม เช่น ความเครียดเรื้อรัง การรัดหรือมัดผมที่แน่นเกินไป การได้รับสารอาหารไม่เพียงพอโดยเฉพาะธาตุเหล็ก สังกะสี เซเลเนียม วิตามินดี ไบโอติน และโปรตีน
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มลภาวะ และการสัมผัสสารเคมียืดผม ดัดผม หรือเปลี่ยนสีผมบ่อยครั้ง
ปัญหาผมร่วงผมบาง
ผู้ชายกว่า 70% และผู้หญิงกว่า 40% มีโอกาสประสบกับภาวะผมร่วงผมบางเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน และพบความถี่ของปัญหานี้มากขึ้นเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามพบว่า 25% ของผู้ชาย และ 12% ของผู้หญิงเริ่มมีปัญหานี้ตั้งแต่อายุ 30 ปี ดังนั้น ปัญหาผมร่วง ผมบางจึงเป็นปัญหาที่พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย ไม่จำกัดแต่ในผู้สูงอายุเท่านั้น1,2 เพศชายมีโอกาสพบปัญหานี้บ่อยกว่าเพศหญิงด้วยอิทธิพลของฮอร์โมนเพศชายซึ่งทำให้วงจรการเจริญเติบโตของเส้นผมสั้นกว่าเพศหญิง
ปัญหาผมร่วงผมบางไม่เพียงส่งผลต่อภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนความมั่นใจในตัวเอง เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพบางอาชีพ หรือแม้แต่ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตลดลง การรักษาผมร่วงหรือผมบางในปัจจุบันอาจเป็นหัตถการ เช่น การฉีด platelet-rich plasma การปลูกผม (hair transplantation) หรือการรักษาด้วยแสงความถี่จำเพาะ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง มีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ในขณะที่ยาซึ่งนิยมใช้ในเวชปฏิบัติ เช่น Minoxidil, Finasteride และ Spironolactone ก็มีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงได้บ่อยเนื่องจากตั้งแต่แรกยาเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับการรักษาโรคอื่น ๆ แต่มีอาการข้างเคียงทำให้ผมและขนดกขึ้น จึงถูกนำมาใช้รักษาผมร่วงผมบาง2จากข้อจำกัดข้างต้น นำไปสู่การพัฒนา Aminexil ขึ้นเป็นทางเลือกใหม่ในการแก้ปัญหาผมร่วงผมบาง
Aminexil กลไกการทำงานและประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผมร่วงผมบาง
ในคนที่มีภาวะผมบางจากพันธุกรรมหรืออายุที่มากขึ้นมักพบปรากฏการณ์ที่รากผมถูกหุ้มด้วยเส้นใยคอลลาเจนที่แข็งตัวจนแน่นคล้ายพังผืดเรียกว่า perifollicular fibrosis ซึ่งไม่เหมาะกับการเจริญของรากผม ส่งผลให้ขนาดเส้นผมเล็กลง (miniaturization) และเกิดการหลุดร่วงได้ง่าย3,4
การศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่า Aminexil สามารถแก้ปัญหาผมร่วงผมบางด้วยหลายกลไก ได้แก่ 1) ลดการเกิดพังผืดรอบรากผม 2) เพิ่มการไหลเวียนเลือดในบริเวณผิวหนังระดับตื้น 3) ส่งเสริมการสร้างเส้นใยเคราตินที่เป็นองค์ประกอบของเส้นผม 4) ยืดระยะ anagen และลดการเปลี่ยนเป็นระยะ telogen ก่อนเวลาอันควร1,3,5
ผลการใช้ Aminexil ที่สังเกตได้ เช่น เส้นผมเจริญเติบโตได้ดี ผมเส้นใหญ่ขึ้น ดูหนาดกดำแข็งแรง และไม่หลุดร่วงได้ง่าย ซึ่งพบจากรายงานการวิจัยทางคลินิกหลายการศึกษา3,5,6 การวิจัยในผู้ที่มีผมร่วงผมบาง 357 รายที่ใช้ Aminexil วันละ 1-2 ครั้ง เป็นเวลาเฉลี่ย 3 เดือน และได้รับการประเมินโดยแพทย์ผิวหนัง พบว่า 89% มีภาวะผมร่วงผมบางดีขึ้น 92.4% มีคุณภาพของเส้นผมในระดับพึงพอใจถึงพึงพอใจมาก ในขณะที่ 98.6% ไม่พบปัญหาด้านอาการข้างเคียง โดยภาพรวมแล้ว 98.4% ของแพทย์ผิวหนังในการวิจัยนี้แนะนำให้ผู้ป่วยของตนใช้ Aminexil อย่างต่อเนื่องต่อไป7
.jpg?la=ja-jp&rev=14f2210217184347adb0742ebc164420&hash=AA6EF6E35E01811C68CC416DF8C2C817)
การใช้ Aminexil ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Aminexil มีชื่อทางเคมีว่า 2,4-diaminopyrimidine oxide (DPO) เป็นสารออกฤทธิ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท L’Oréal ด้วยแนวคิดที่จะสร้างทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วงผมบาง เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาและต้องการการดูแลอย่างอ่อนโยน สามารถใช้ได้เป็นประจำทุกวัน8 โดยเฉพาะ แชมพูสูตรที่มีสารอื่นร่วมด้วย เช่น niacinamide ซึ่งช่วยลดการอักเสบของหนังศีรษะ เสริมความแข็งแรงให้เกราะป้องกันผิว และ hyaluronic acid ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับหนังศีรษะ ทำให้สภาพแวดล้อมของรากผมดีขึ้น5
การตอบสนองอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นกับพันธุกรรม พฤติกรรมสุขภาพ และระยะเวลาของปัญหาผมร่วง นอกจากรูปแบบแชมพูลดผมร่วงแล้ว ยังมีการใช้ Aminexil ในรูปแบบเซรั่มบำรุงหนังศีรษะ ซึ่งเป็นสูตรเข้มข้น เน้นดูดซึมที่รากผมโดยตรง เหมาะกับผู้ที่มีผมร่วงเฉพาะจุด หรือใช้ร่วมกับ Aminexil เพื่อเพิ่มประสิทธิผลการรักษา
Aminexil เป็นเวชสำอางจึงมีโอกาสแพ้ ระคายเคือง หรือเกิดอาการข้างเคียงน้อยกว่ายา เช่น อาการคันหรือระคายเคืองหนังศีรษะในผู้ที่ใช้สเปรย์ยา minoxidil ความดันโลหิตต่ำ หน้ามืด ใจสั่น ในกรณีใช้ยา minoxidil ชนิดรับประทาน สมรรถภาพทางเพศลดลงจากการใช้ยา finasteride หรือความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกายจากการใช้ spironolactone ทั้งนี้อาจใช้ Aminexil ร่วมกับการใช้ยาได้ในกรณีจำเป็น
เพื่อให้เห็นผลอย่างชัดเจนควรใช้ Aminexil อย่างสม่ำเสมอ โดยอาจใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความหนาดกดำให้กับเส้นผมร่วมกับปกป้องเส้นผมจากมลภาวะ เช่น Resveratrol และ Stemoxydine นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมที่ควรทำควบคู่กับการใช้ Aminexil ดังต่อไปนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ และพยายามลดความเครียดด้วยกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น โยคะ หรือการทำสมาธิ
- สระผมด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงน้ำร้อนจัด ใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
- หลีกเลี่ยงการรัดผมหรือมัดผมแน่นเกินไป งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์สูง ซึ่งอาจทำให้หนังศีรษะแห้ง ลดการทำเคมีที่รุนแรงกับเส้นผม
หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาผมร่วงผมบาง อย่าเพิ่งหมดหวัง นอกจากการใช้ยาและหัตถการต่าง ๆ แล้ว ยังมี Aminexil เป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัยและได้ผลค่อนข้างดี สำหรับผู้ที่ภาวะผมร่วงรุนแรง ผมร่วงบางเป็นหย่อมเฉพาะจุดจนเห็นเหมือนผิวหนังทั่วไป (alopecia areata) หรือตอบสนองไม่เป็นที่พึงพอใจหลังใช้แชมพูลดผมร่วง ที่มีส่วนผสมของ Aminexil อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาใช้ยาหรือการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย
เรียบเรียงข้อมูลโดย
ผศ.ดร.ภก.กิติยศ ยศสมบัติ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
29 ก.ค. 2568
เอกสารอ้างอิง
1. Jalilzadeh S, Hamishehkar H, Monajjemzadeh F. Kopexil vs minoxidil: In vivo comparative study on hair growth, hair growth promoting factors and toxicity. Bioimpacts 2025;15:30484. DOI: 10.34172/bi.30484
2. Nestor MS, Ablon G, Gade A, Han H, Fischer DL. Treatment options for androgenetic alopecia: Efficacy, side effects, compliance, financial considerations, and ethics. J Cosmet Dermatol 2021;20(12):3759-3781. DOI: 10.1111/jocd.14537.
3. Makky AMA, E SE-L, Hussein DG, Khattab A. A Full Factorial Design to Optimize Aminexil Nano Lipid Formulation to Improve Skin Permeation and Efficacy Against Alopecia. AAPS PharmSciTech 2023;24(1):40. DOI: 10.1208/s12249-023-02500-3.
4. Li K, Liu F, Sun Y, et al. Association of fibrosis in the bulge portion with hair follicle miniaturization in androgenetic alopecia. J Am Acad Dermatol 2022;86(1):213-215. DOI: 10.1016/j.jaad.2021.01.078.
5. Rezk MR, Essam HM, Amer EA, Youssif DMS. Chromatographic Methods for the Determination of Aminexil, Pyridoxine, and Niacinamide in a Novel Cosmetic Hair Preparation. J AOAC Int 2020;103(4):1167-1172. DOI: 10.1093/jaoacint/qsaa013.
6. Camacho F, Camacho-Serrano F, Giménez JM, et al. Treatment of alopecias of male and female patterns. Clinical efficacy of aminexil and SP94 in two surveys of 180 patients, men and women. Medicina Cutánea Ibero-Latino-Americana 2013;41(1):18-33.
7. Reygagne P, Mandel VD, Delva C, et al. An anti-hair loss treatment in the management of mild androgenetic alopecia: Results from a large, international observational study. Dermatol Ther 2021;34(6):e15134. DOI: 10.1111/dth.15134.
8. Sawaya ME, Shapiro J. Androgenetic alopecia. New approved and unapproved treatments. Dermatol Clin 2000;18(1):47-61, viii. DOI: 10.1016/s0733-8635(05)70146-7.